Translate

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ความหมายของธุรกิจ

                                                         ความหมายของธุรกิจ
บทที่1 ความหมายและความสำคัญของธุรกิจ
ความหมายของธุรกิจ
    "ธุรกิจ"หมายถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การจัดจำหน่าย และการบริการ โดยภายในหน่วยงานหรือธุรกิจนั้น ๆ มีการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาผสมผสานกันอย่างมีระบบ มีระเบียบตามกฏเกณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนหรือผู้บริโภค ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดผลประโยชน์หรือบรรลุตามเป้าหมายของธุรกิจ และไม่ก่อให้เกิดมลภาวะที่ไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อม
องค์ประกอบของกิจกรรมทางธุรกิจ
    จากความหมายของธุรกิจจะเห็นได้ว่าธุรกิจจะดำเนินได้นั้นต้องมีการนำกิจกรรมหลาย ๆ อย่างมาประสานกัน ซึ่งกิจกรรมนั้น ๆ ก็คือ การกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบภายในธุรกิจนั้นเอง
    หน้าที่ทางธุรกิจ หมายถึง การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะผสมผสานทรัพยากรที่มีอยู่ภายในธุรกิจหรือหน่วยงานเข้าด้วยกันอย่างมีระเบียบกฎเกณฑ์ และสอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมเพื่อนให้สินค้าหรือบริการที่เกิดขึ้นตรงกับความต้องการของผู้บริโภค
    ทรัพยากร (Resource) ที่หน่วยงานมีอยู่ คือ วัสดุ อุปกรณ์ หรือสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่หน่วยงานใช้ในการดำเนินงาน ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหรือเรียกสั้น ๆ ว่า 4 M's อันประกอบด้วย
                1. คน (Man) เป็นทรัพยากรแรกที่ก่อให้เกิดการดำเนินงานภายในธุรกิจ ซึ่งนับรวมทั้ง ฝ่ายบริหาร
                   และฝ่ายปฎิบัติการ
                2. เงินทุน (Money or Capital) คือสินทรัพย์ที่จะนำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ อาจจะอยู่ในรูปของ
                    เงินสดหรือสินทรัพย์อื่น ๆ ก็ได้
                3. วัตถุดิบหรืออุปกรณ์ (Material) คืออาจจะเป็นรูปของวัตถุดิบถ้าธุรกิจนั้นเป็นธุรกิจการผลิต
                    เช่น เครื่องจักรกล วัสดุ อะไหล่ต่าง ๆ หรืออาจใช้ในการดำเนินงานให้ประสบผลสำเร็จได้
                4. การบริหารงานหรือการจัดการ (Management) คือกระบวนการหรือขั้นตอนในการนำคน เงิน
                    ทุน และวัตถุดิบหรือวัสดุอุปกรณ์ มาดำเนินงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด
    การดำเนินของหน้าที่ภายในธุรกิจ เพื่อให้ทรัพยากรประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องแบ่งหน้าที่ต่าง ๆ ออกเป็น 5 หน้าที่ ดังนี้
                1. หน้าที่เกี่ยวกับการผลิต  (Production Function)
                2. หน้าที่เกี่ยวกับการตลาด  (Marketing Functon)
                3. หน้าที่เกี่ยวกับการเงิน  (Financial Functon)
                4. หน้าที่เกี่ยวกับการบัญชี  ( Accounting Functon)
                5. หน้าที่เกี่ยวกับบุคคลากร  (Personal Functon)
 การสร้างความสัมพันธ์ของกิจกรรมทางธุรกิจ
    หน้าที่ของธุรกิจทุกหน้าที่จะต้องมีการทำกิจกรรมที่ประสานกัน เพื่อให้การปฎิบัติงานภายในธูรกิจมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ซึ่งหน้าที่ต่าง ๆ เหล่านั้นจะประสานกันได้ต้องมีการจัดโครงสร้างองค์กรที่ชัดเจน พร้อมทั้งกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหล้งนั้น ๆ
การจัดโครงสร้างขององค์กร  (Organization Structure)
    หมายถึง รูปแบบของแผนงานภายในองค์กรที่มีการกำหนดขึ้นเป็นตำแหน่งต่าง ๆ พร้อมระบุหน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหน่งนั้น ๆ ทำให้บุคคลผู้ที่ดำรงตำแหน่งสามารถปฎิบัติงานได้ทั้งในหน้าที่ของตนและในหน้าที่ที่ต้องประสานกับฝ่ายอื่น ๆ เพื่อก่อให้เกิดความสัมพันธ์กันภายในองค์กร โดยแต่ละฝ่ายมีหน้าที่ความรับผิดชอบเป็นไปตามระเบียบกฎเกณฑ์เดียวกันเพื่อให้งานบรรลุวัตถุประสงค์ของกิจการ
โครงสร้างขององค์กรโดยทั่วไปประกอบด้วย
            1. มีการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบที่ชัดเจนเพื่อมอบหมายให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลปฎิบัติงาน
            2. มอบหมายงานที่กำหนดไว้ตามข้อ 1 อาจจะเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มบุคคล
            3. กำหนดความรับผิดชอบของแต่ละหน้าที่ เพื่อให้ผู้ปฎิบัติรู้ขอบเขตของหน่วยงานที่ต้องปฎิบัติ
            4. จัดให้มีเอกภาพในการบังคับบัญชา โดยการกำหนดอำนาจหน้าที่ให้กับกลุ่มผู้ปฎิบัติงานช่วยกัน
                ดูแล ปรึกษาหารือร่วมกัน เพื่อให้การดำเนินงานไปสู่เป้าหมายที่วางไว้
โครงสร้างขององค์กรโดยทั่วไปมีอยู่ 2 ลักษณะคือ
                1. โครงสร้างที่เป็นทางการ (Formal Organization Structure) มีการกำหนดรูปแบบการจัด
                     กิจกรรมต่าง ๆ ที่ชัดเจน มีผู็รับผิดชอบในแต่ละกลุ่ม มีการปฎิบัติงานร่วมกันอย่างมีระเบียบ
                     แบบแผนและในองค์กรมักจะมีแผนภูมิโครงสร้างแสดงไว้ให้เห็น
                2. โครงสร้างที่ไม่เป็นทางการ (Lnformal Organization Structure) เป็นโครงสร้างที่ไม่มีรูป
                     แบบที่ชัดเจน ไม่มีการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบ ไม่มีการกำหนดกฎระเบียบใด ๆ แต่ละ
                     บุคคลในองค์กรจะปฎิบัติงานโดยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โครงสร้างลักษณะนี้มักเกิดขึ้นใน
                     ธุรกิจขนาดเล็กหรือธูรกิจภานในครอบครัว ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวในการช่วยกันทำงาน แต่
                     ในธุรกิจขนาดใหญ่ก็จะมีโครงสร้างที่ไม่เป็นทางการ เช่น พนักงานที่เรียนจบมาจากสถาบัน
                     เดียวกันทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกัน ทำให้เกิดการรวมกลุ่มทำให้เกิดความสนิทสนมรักใคร่กัน
                     เมื่องานมีปัญหาก็จะช่วยกันแก้ไข ร่วมกันสร้างสรรค์งานให้ไปสู่เป้าหมายได้
ประโยชน์ของการจัดโครงสร้างภายในองค์กร
             1. ช่วยให้ผู็ปฎิบัติงานรู้จักขอบข่ายของหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องปฎิบัติ
             2. เป็นเครื่องมือในการสั่งการและกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบให้กับบุคคลในองค์กร
             3. ก่อให้เกิดวิธีการที่จะปฎิบัติงานร่วมกัน
             4. เสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้ผู้ปฎิบัติมีความกระตือรือร้นในการปฎิบัติงานไปสู่เป้าหมาย
ความสัมพันธ์ภายในองค์กร (Organization Relationship)
    ในองค์กรแต่ละองค์กรมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบที่ชัดเจนหรือจะไม่มีการแบ่งหน้าที่ก็ตามแต่ทุกคนที่อยู่ในองค์กรต่างก็มีวัตถุประสงค์ในการปฎิบัติงานเหมือนกันคือความสำเร็จขององค์กร ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้นั้นทุกคน ทุกตำแหน่งหน้าที่จะต้องมีความสัมพันธ์กันเพื่อร่วมมือกันปฎิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จากการกำหนดโครงสร้างขององค์กรพอจะแบ่งความสัมพันธ์ออกได้ดังนี้
            1. ความสัมพันธ์ที่เป็นทางการ (Formal Relationship) ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นโดยตำแหน่งหน้าที่ 
                เช่น พนักงานขายกับผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ในที่นี้พนักงานขายมีความสัมพันธ์ในบทบาท
                ของผู้ใต้บังคับบัญชา
            2. ความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการ (Informal Relationship) ความสัมพันธ์ส่วนตัวไม่เกี่ยวกับ
                ตำแหน่งงาน แต่ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ก็จะมีผลต่อการปฎิบัติงาน เช่น ผู้อำนวยการฝ่ายการ
                ตลาดกับพนักงานขายเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นทางการ แต่ในขณะเดียวกันบุคคลทั้งสองอาจจบ
                การศึกษามาจากสถาบัญเดียวกัน นับถือเป็น รุ่นพี่รุ่นน้องกัน นับเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เป็น
               ทางการ
    ดังนั้น ธุรกิจต่าง ๆ จึงมีความสัมพันธ์ทั้งสองลักษณะควบคู่กัน ก่อให้เกิดความร่วมมือกัน มีผลทำให้งานในธุรกิจนั้นมีความก้าวหน้า เจริญเติบโตและมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ความสำึคัญของธุรกิจ
่่    ธุรกิจเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานในการสนองความต้องการของผู้บริโภคหรือประชาชนโดยนำทรัพยากรต่าง ๆ มาเข้ากระบวนการที่เรียกว่า "การดำเนินธุรกิจ" ซึ่งธุรกิจเหล่านั้นมีผลต่อการพัฒนาประเทศและสังคม พอจะสรุปได้ดังนี้
        1. การดำเนินงานของธุรกิจก่อให้เกิดการนำทรัพยากรของประเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
        2. ช่วยให้ผู้บริโภคหรือประชาชนได้ใช้สินค้าหรือบริการ เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของตนเองให้ดีขึ้น
        3. ธุรกิจต่าง ๆ ช่วยขจัดปัญหาการว่างงาน และช่วยกระจายรายได้ไปสู่ประชาชน
        4. ช่วยเพิ่มพูนรยได้ให้กับประเทศในรูปแบบของภาษีอากร
        5. ประชาชนหรือผู้บริโภคมีโอกาสได้เลือกสินค้าหรือบริการที่สนองความพึงพอใจสูงสุดได้ง่าย                
             เพราะธุรกิจต่าง ๆ มีการแข่งขันกัน เพื่อพัฒนาสินค้าหรือบริการ
        6. ประเทศสามารถนำภาษีอากรที่จัดเก็บไปพัฒนาประเทศได้
          
  
                                             ความสำคัญของธุรกิจ

ความสำคัญของธุรกิจ

มนุษย์ทุกคนมีความต้องการที่เหมือนกันอยู่ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ประเภทแรกเป็นความต้องการที่จำเป็นขั้นพื้นฐานต่อการดำรงชีวิต (Needs) ได้แก่ปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ส่วนความต้องการอีกประเภทหนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์อยากมี (Wants) แต่ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ก็ยัง สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตัวอย่างเช่น รถยนต์ โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ดังนั้นธุรกิจจึงมีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของมนุษย์ เพราะธุรกิจเป็น แหล่งผลิตสินค้าและบริการ เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ทั้ง 2 ประเภทดังที่กล่าวมาแล้ว
สินค้าคือ สิ่งของที่มีตัวตน สามารถมองเห็นและจับต้องได้ เช่น รถยนต์ อาหาร เสื้อผ้า เป็นต้นตัวอย่างของธุรกิจที่เป็นแหล่งผลิตสินค้า เช่น โรงงานผลิต รถยนต์ โรงงานผลิตเสื้อผ้า เป็นต้น สำหรับการให้บริการนั้น หมายถึง สิ่งที่ไม่มีตัวตน ไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้ แต่สามารถกำหนดราคา เพื่อซื้อขาย กันได้ ตัวอย่างเช่นการให้บริการของสถานเริงรมย์ บริการเสริมสวย บริการซักรีด บริการขนส่ง บริการด้านการสื่อสารของสถานที่ให้บริการเฉพาะนั้น ๆ เป็นต้น

วัตถุประสงค์ของธุรกิจ

การประกอบธุรกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประเภทใดก็ตาม สิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจต้องการ คือ กำไรแต่นอกเหนือจากกำไรแล้ว ยังมีสิ่งอื่นอีกที่ธุรกิจ จะต้อง คำนึงถึง เช่น ความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค ความรับผิดชอบต่อสังคม ความรับผิดชอบต่อลูกจ้างพนักงาน ฯลฯ
วัตถุประสงค์ของธุรกิจ (Business Goals) ที่สำคัญมีดังนี้
1. เพื่อความมั่นคงของกิจการ เมื่อธุรกิจเริ่มดำเนินการขึ้น เจ้าของธุรกิจก็มีความประสงค์จะผลิตสินค้า หรือบริการเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภค ต่อไป อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีที่สิ้นสุด
2. เพื่อความเจริญเติบโตของธุรกิจ นอกจากความมั่นคงของกิจการแล้ว ธุรกิจยังต้องการที่จะเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยการขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้น มีสาขาเพิ่มขึ้น มีพนักงานเพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิดความมั่นคงทั้งทางการเงินและฐานะทางสังคม
3. เพื่อผลประโยชน์หรือกำไร สิ่งที่จูงใจให้เจ้าของธุรกิจดำเนินธุรกิจต่อไป คือ กำไร ถ้าธุรกิจไม่มีกำไรกิจการนั้นก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ การที่ธุรกิจจะมีกำไรได้นั้นคือ ต้องจำหน่ายสินค้าหรือได้รับค่าบริการในราคาสูงกว่าค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนที่ได้เสียไปในการผลิตสินค้าหรือบริการนั้น
4. เพื่อความรับผิดชอบต่อสังคม การดำเนินธุรกิจจะต้องคำนึงถึงจารีตประเพณีศีลธรรมอันดีงามของสังคมด้วย ธุรกิจจะต้องไม่ดำเนินการที่ขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อประเพณี ศีลธรรมอันดีงามของสังคม ธุรกิจจะต้องคำนึงถึงผู้บริโภค คำนึงถึงสภาพแวดล้อมต้องช่วยพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของสังคมให้ดีขึ้น เช่น การไม่ปล่อยน้ำเสียลงในแม่น้ำลำคลอง การไม่ผลิตสินค้าที่มีสารพิษตกค้าง การไม่ตัดไม้ทำลายป่า การไม่ก่อให้เกิดมลพิษ ฯลฯ
จากวัตถุประสงค์ของธุรกิจดังกล่าว จัดว่าเป็นวัตถุประสงค์ส่วนใหญ่ของธุรกิจเอกชน แต่ยังมีการประกอบธุรกิจบางประเภทที่ไม่ได้หวังผลกำไร (Social Prestige) ได้แก่ กิจการประเภทสาธารณูปโภค (Public Utilities) ต่าง ๆ เช่น การดำเนินกิจการของการไฟฟ้า การประปา การสื่อสารแห่งประเทศไทย เป็นต้น กิจการดังกล่าวดำเนินการโดยรัฐบาล ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนกินดีอยู่ดี มีความสะดวกสบาย

ปัจจัยในการดำเนินธุรกิจ

การดำเนินธุรกิจต้องอาศัยหลาย ๆ ปัจจัยประกอบกัน จึงจะเกิดกิจกรรมในการประกอบธุรกิจ จะขาดปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งไม่ได้ โดยทั่วไปปัจจัยพื้นฐาน ในการดำเนินธุรกิจมี 4 ประเภท ที่เรียกว่า 4 M ได้แก่
  • คน (Man) ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด เพราะธุรกิจต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความคิดของคน มีคนเป็นผู้ดำเนินการหรือเป็นผู้จัดการ จึงจะทำให้เกิดกิจกรรมทางธุรกิจหลายรูปแบบ ซึ่งในวงจรธุรกิจมีคนหลายระดับ หลายรูปแบบ ทั้งระดับผู้บริหาร ผู้ใช้แรงงานร่วมกันดำเนินการ จึงจะทำให้ประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ
  • เงิน (Money) เงินทุนเป็นปัจจัยในการดำเนินธุรกิจอีกชนิดหนึ่งที่ต้องนำมาใช้ในการลงทุน เพื่อให้เกิดการประกอบธุรกิจโดยธุรกิจแต่ละประเภท ใช้ปริมาณเงินทุกที่แตกต่างกัน ธุรกิจขนาดใหญ่ย่อมใช้เงินทุนสูงกว่าธุรกิจขนาดเล็กกว่า ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจจึงต้องมีการวางแผนในการใช้เงินทุน และการจัดหาเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้การดำเนินธุรกิจไม่ประสบปัญหาด้านเงินทุน และก่อให้เกิดผลตอบแทนสูงสุด คุ้มกับเงิน ที่นำมาลงทุน
  • วัสดุหรือวัตถุดิบ (Material) ในการผลิตสินค้าต้องอาศัยวัตถุดิบในการผลิตค่อนข้างมาก ผู้บริหารจึงต้องรู้จักการบริหารวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดต้นทุนด้านวัตถุดิบต่ำสุด อันจะส่งผลให้ธุรกิจมีผลกำไรสูงสุดตามมา
  • วิธีปฎิบัติงาน (Method) เป็นวิธีการในการปฎิบัติงานในแต่ละขั้นตอนของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งต้องมีการวางแผนและควบคุม เพื่อให้การปฎิบัติงานมีประสิทธิภาพ เกิดความคล่องตัว สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกกิจการ

ประโยชน์ของธุรกิจ

ประโยชน์ของธุรกิจจำแนกได้ ดังนี้
1. ธุรกิจผลิตสินค้าและบริการเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ในสังคม
เนื่องจากความต้องการของคนเราแตกต่างกัน และมีความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด โดยความต้องการของคนเราจะเพิ่มขึ้นตลอดเวลา เพื่อสร้างความพึงพอใจ และความสะดวกสบายแก่ตนเอง ธุรกิจจึงมีหน้าที่ในการจัดหาสิ่งต่าง ๆ มาบริการสนองความต้องการดังกล่าว
2. ธุรกิจช่วยกระจายสินค้าจากผู้ผลิดไปสู่ผู้บริโภค
เมื่อธุรกิจประเภทผู้ผลิตสินค้า เช่น โรงงานอุตสาหกรรมผลิตสินค้าออกมาแล้ว การที่สินค้าจะกระจายไปสู่ผู้บริโภคได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยธุรกิจ ประเภทอื่น ช่วยกระจายสินค้าไปสู่ผู้บริโภค เป็นต้นว่าธุรกิจการขนส่ง ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศพ่อค้าคนกลาง การประชาสัมพันธ์ การบริการด้านการเงินของธนาคาร การสื่อสาร ฯลฯ
3. ธุรกิจเป็นแหล่งตลาดแรงงาน
ในการดำเนินการธุรกิจมีความจำเป็นต้องใช้แรงงาน เพื่อทำการผลิตสินค้าหรือบริการ ดังนั้นการดำเนินธุรกิจจึงทำให้คนมีงานทำ สามารถหารายได้ เพื่อเลี้ยงตัวเอง และครอบครัวได้ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมดีขึ้น นอกจากนั้นการที่ธุรกิจกระจายไปอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของประเทศ ก็เป็นการ กระจายรายได้ และตลาดแรงงานไปสู่ท้องถิ่นอีกด้วย
4. ธุรกิจเป็นแหล่งเพิ่มรายได้ให้แก่รัฐบาล
เมื่อการดำเนินธุรกิจมีผลกำไร ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่เสียภาษีให้รัฐบาลตามที่กฎหมายกำหนด ทำรายได้ของรัฐเพิ่มขึ้น และรายได้ดังกล่าว รัฐบาลนำไปใช้ ในการพัฒนาประเทศ ได้แก่ การสร้างโรงพยาบาลสร้างถนน สร้างโรงเรียน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างคุณภาพชีวิต ให้เกิดแก่ประชาชน
5. ธุรกิจช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
ในการผลิตสินค้าและบริการของธุรกิจในระยะแรก ๆ ก็เพื่อสนองความต้องการของประชาชนในท้องถิ่น จังหวัดและประเทศ แต่เมื่อธุรกิจขยายตัวเติบโตขึ้น สามารถผลิตสินค้าและบริการได้มาก จนเกิดความต้องการของคนในประเทศ จึงต้องส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ทำให้รายได้เข้าสู่ประเทศ เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทางหนึ่ง

ประเภทของธุรกิจ

การแบ่งประเภทของธุรกิจตามลักษณะของกิจกรรมที่ธุรกิจกระทำ แบ่งออกได้ ดังนี้
  1. ธุรกิจการเกษตร (Agriculture) การประกอบธุรกิจการเกษตร ได้แก่ การทำนา การทำไร่ การทำสวน การทำป่าไม้ การทำปศุสัตว์ ฯลฯ
  2. ธุรกิจอุตสาหกรรม (Manufacturing) การประกอบธุรกิจอุตสาหกรรม ได้แก่ ธุรกิจผลิตสินค้าเพื่ออุปโภค แบ่งเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
    2.1 อุตสาหกรรมในครัวเรือน จัดเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ใช้แรงงานเฉพาะสมาชิกในครอบครัว ลงทุนไม่สูงนักส่วนใหญ่เป็นการใช้เวลาว่างจากการประกอบอาชีพหลัก คือ การทำนาทำไร่ ขณะที่รอเก็บเกี่ยวพืชผลก็ใช้เวลาว่าง มาทำอุตสาหกรรม ในครัวเรือน ได้แก่ อุตสาหกรรมทอผ้า อุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา อุตสาหกรรมทำเครื่องเขิน อุตสาหกรรมทำเครื่องจักสาน ฯลฯ
    2.2 อุตสาหกรรมโรงงาน เป็นอุตสาหกรรมที่ผู้ผลิตสินค้ามีโรงงาน มีเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าได้ครั้งละจำนวนมาก มีการจ้างแรงงานจากบุคคลภายนอก ได้แก่ โรงงานผลิตรถยนต์ โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ โรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูป โรงงานผลิตพลาสติก ฯลฯ
  3. ธุรกิจเหมืองแร่ (Mineral) การประกอบธุรกิจเหมืองแร่ ได้แก่ การทำเหมืองแร่ชนิดต่าง ๆ การขุดเจาะถ่านหิน การขุดเจาะนำทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ มาใช้
  4. ธุรกิจการพาณิชย์ (Commercial) เป็นธุรกิจที่ทำหน้าที่กระจายสินค้าที่ผลิตจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไปสู่ผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคได้อุปโภคบริโภค สินค้า ตามความต้องการ ได้แก่ ธุรกิจพ่อค้าคนกลาง ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก ตัวแทนจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ
  5. ธุรกิจการก่อสร้าง (Construction) เป็นธุรกิจที่ทำหน้าที่ในการนำวัสดุต่าง ๆ ได้แก่ อิฐ หิน ปูน ทราย มาใช้ในการก่อสร้าง เช่น การสร้างถนน สร้างอาคาร สร้างเขื่อน ก่อสร้างโรงพยาบาล เป็นต้น
  6. ธุรกิจการเงิน (Finance) เป็นธุรกิจที่ทำหน้าที่ส่งเสริมให้ธุรกิจอื่นทำงานได้คล่องตัวขึ้น เนื่องจากในการทำธุรกิจจะต้องเริ่มจากการลงทุน ซึ่งต้อง ใช้เงิน ในการลงทุน เช่น นำมาซื้อที่ดิน ปลูกสร้างอาคาร จ้างคนงาน ซื้อวัตถุดิบ ซื้อเครื่องจักร ฯลฯ ซึ่งถือว่าธุรกิจการเงินเป็น แหล่งที่ธุรกิจอื่น สามารถติดต่อใน การจัดหาทุนได้ นอกจากนั้นในการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศหรือส่งสินค้าไปขายต่างประเทศ ธุรกิจการเงิน จะทำหน้าที่เป็น ตัวกลาง ในการติดต่อซื้อขาย ชำระเงินระหว่างกัน ธุรกิจที่จัดเป็นธุรกิจการเงิน ได้แก่ ธุรกิจประเภทธนาคาร บริษัทประกันภัย บริษัทการเงิน
  7. ธุรกิจให้บริการ (Service) เป็นธุรกิจที่อำนวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภค ได้แก่ ธุรกิจการขนส่ง ธุรกิจการสื่อสาร ธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจการโรงแรม ฯลฯ
  8. ธุรกิจอื่น ๆ เป็นธุรกิจที่นอกเหนือจากธุรกิจประเภทที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ได้แก่ ผู้ประกอบธุรกิจ อาชีพอิสระต่าง ๆ เช่น วิศวกร แพทย์ สถาปัตย์ ช่างฝีมือ ประติมากรรม ฯลฯ

หน้าที่ในการประกอบธุรกิจ

ธุรกิจทุกประเภท ต่างมีหน้าที่ในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับ ความพอใจสูงสุด เกิดอรรถประโยชน์สูงสุด สามารถบำบัดความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์ หน้าที่ดังกล่าว ได้แก่
1. การผลิต (Production) เป็นกิจกรรมในการแปรรูปวัตถุดิบให้เป็นสินค้าหรือบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภค เกิดความพึงพอใจในการบริโภค กระบวนการผลิตสินค้าหรือบริการมีหลายขั้นตอน จึงจะได้สินค้าหรือบริการตามที่ผู้บริโภคต้องการ ผู้ประกอบธุรกิจ จะต้องมีความรู้ในการผลิตเป็นอย่างดี จึงจะทำให้ได้สินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพดี มีต้นทุนที่เหมาะสม ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบธุรกิจต้องพิจารณา ได้แก่
1.1 การเลือกทำเลที่ตั้ง
1.2 การวางผังโรงงาน
1.3 การออกแบบสินค้า
1.4 การกำหนดตารางเวลาการผลิต
1.5 การตรวจสอบสอนค้า
2. การจัดหาเงินทุน (Capital) เงินทุนถือว่าเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในการประกอบธุรกิจ ผู้ประกอบธุรกิจจึงต้องมีการบริหารเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการจัดสรรเงินทุนในการดำเนินงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการจัดหาเงินทุนมาใช้ในการประกอบธุรกิจ ซึ่งมีแหล่งเงินทุน 2 แหล่ง ดังนี้
2.1 แหล่งเงินทุนภายใน (Internal Sources) เป็นเงินทุนที่ได้จากเจ้าของกิจการ อันได้แก่เงินที่นำมาลงทุน และจากกำไรสะสม
2.2 แหล่งเงินทุนภายนอก (External Sources) เป็นเงินทุนที่ได้จากการกู้ยืมจากสถาบันการเงินภายนอกกิจการ เช่น ธนาคารพาณิชย์
บริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์ บรรษัทบริหาร ธุรกิจขนาดย่อย (บอย.) บริษัทประกันภัย เป็นต้น
3. การจัดหาทรัพยากรด้านกำลังคน คนถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญมากที่สุดในการประกอบธุรกิจ ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องจัดหาบุคคลที่มีคุณภาพ และเหมาะสมกับตำแหน่งงาน โดยใช้หลักการ "จัดคนให้เหมาะกับงาน" (Put the right man in the right job) รวมทั้งเมื่อได้บุคลากรที่มีคุณภาพ และเหมาะสมกับงานแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจยังต้องรักษาบุคลากรดังกล่าวให้ปฎิบัติงานอยู่กับองค์กรตลอดไปอย่างมีความสุข ในการจัดหาทรัพยากร ด้านกำลังคน ผู้ประกอบธุรกิจควรพิจารณาดังนี้
3.1 การวางแผนกำลังคน ด้านจำนวน คุณภาพและหน้าที่ความรับผิดชอบ
3.2 การสรรหากำลังคน
3.3 การคัดเลือกและการบรรจุ
3.4 การฝึกอบรม
3.5 การประเมินผลการปฎิบัติงาน
4. การบริหารการตลาด เป็นกระบวนการที่ทำให้สินค้าหรือบริการถึงมือผู้บริโภค เพื่อตอบสนองความต้องการและสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้บริโภค ซึ่งการบริหารการตลาด ผู้ประกอบธุรกิจต้องอาศัยส่วนผสมทางการตลาด (Marketing mix) หรือเรียกว่า 4P's เป็นเครื่องมือที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความพึงพอใจ ได้แก่
4.1 ผลิตภัณฑ์ (Pruduct) คือ สิ่งที่ธุรกิจเสนอขายเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคให้พึงพอใจ ผลิตภัณฑ์อาจจะมีตัวตนหรือไม่มีตัวตนก็ได้ ผลิตภัณฑ์จึงประกอบด้วยสินค้า บริการ ความคิด สถานที่ องค์กรหรือบุคคล ซึ่งต้องมีอรรถประโยชน์ (Utility) มีมูลค่า (Value) ในสายตาของผู้บริโภคจึงจะขายได้
4.2 ราคา (Price) คือ มูลค่าผลิตภัณฑ์ในรูปตัวเงิน ผู้ประกอบธุรกิจต้องกำหนดราคาให้เหมาะสม เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค จึงจะสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้แก่ผู้บริโภคได้ ซึ่งการกำหนดราคาขึ้นอยู่กับตัวผลิตภัณฑ์ กลุ่มตลาดเป้าหมาย การแข่งขัน บทบัญญัติตามกฎหมาย เป็นต้น
4.3 การจัดจำหน่าย (Place) คือ กิจกรรมการเคลื่อนย้ายผลิตภัณฑ์จากธุรกิจไปยังตลาดเป้าหมาย ผู้ประกอบธุรกิจต้องเลือกช่องทางการจัดจำหน่าย ให้เหมาะสมกับประเภทของผลิดภัณฑ์ และจะต้องจัดจำหน่ายให้ทันกับความต้องการของผู้บริโภค จึงจะทำให้ผลิตภัณฑ์จำหน่ายได้
4.4 การส่งเสริมการตลาด (Promoting) คือ การติดต่อสื่อสารเกี่ยวกับข้อมูลระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อ เพื่อสร้างทัศนคติและพฤติกรรมการซื้อ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะชักจูงให้เกิดการซื้อ ผู้ประกอบธุรกิจจำเป็นต้องเลือกการส่งเสริมการตลาดให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์และกลุ่มตลาดเป้าหมาย ซึ่งเครื่องมือในการส่งเสริมการตลาดมีหลายประเภท อาทิเช่น การโฆษณา การให้ส่วนลด การให้ของแถม เป็นต้น


แหล่งอ้างอิง
- อรทัย วานิชดี. ธุรกิจทั่วไป. กรุงเทพฯ : ประสานมิตร, 2545.
- สุดาทิพย์ ตันตินิกุลชัย และศักดา หงส์ทอง. ธุรกิจทั่วไป. กรุงเทพฯ : บริษัท สำนักพิมพ์เอมพันธ์ จำกัด, 2547.
http://lpn.nfe.go.th/e_learning/LESSON1/unit1_6.htm

                                                   โครงสร้างของระบบธุรกิจ

บทที่ 05 โครงสร้างขององค์กรในระบบธุรกิจ

รูปภาพของ bvsokiiaim
Kiss โครงสร้างขององค์กรในระบบธุรกิจ Kiss
หน่วยที่โครงสร้างระบบในองค์กรธุรกิจ ความหมายของระบบระบบ (System) หมายถึง ชุด (Set) ของส่วนประกอบ (Element) ที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยส่วนประกอบเหล่านั้นดำเนินงานร่วมกันเป็นกลุ่ม เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายบางอย่าง ตัวอย่างของระบบที่พบเห็นกันได้ทั่วไปก็คือ ระบบคอมพิวเตอร์(Computer System) โดยระบบคอมพิวเตอร์ประกอบด้วย1.             ฮาร์ดแวร์(Hardware)2.             ซอฟต์แวร์(Software)3.             คน (Peopleware)4.             ข้อมูลและสารสนเทศ (Data and Information)5.             กระบวนการต่าง ๆ ในการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการประมวลผล6.             กระบวนการแสวงหาข้อมูลดิบและข่าวสาร เพื่อนำมาใช้ในระบบ
 
คุณสมบัติที่สำคัญอีกอย่างของระบบที่เราสามารถพบเห็นได้บ่อย ๆ ก็คือ ระบบมีขอบเขตและมีระบบย่อย ๆ ซ้อนกันอยู่ภายใน ซึ่งระบบที่มีควรจะมีระบบย่อย ที่ทำงานได้สมบูรณ์มีการสื่อสารโต้ตอบภายในระหว่างระบบย่อย และมีการตรวจสอบการทำงาน ทั้งนี้เพื่อให้ระบบสามารถดำเนินการไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ได้ตัวอย่างเช่น ระบบธุรกิจ (Business System) ซึ่งภายในประกอบด้วยระบบย่อยต่าง ๆ มากมาย เช่น ระบบการผลิต ระบบการตลาด ระบบบัญชีระบบสินค้าคงคลัง และระบบบริหารงานบุคคล เป็นต้น


 
จากตัวอย่างของระบบที่ยกมาทั้งระบบคอมพิวเตอร์และระบบธุรกิจ จะเห็นว่าองค์ประกอบของระบบสามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะด้วยกัน คือ1. สิ่งที่สัมผัสได้ หมายถึง สิ่งที่เป็นวัตถุสิ่งของ หรือสิ่งมีชีวิตที่สามารถจับต้องได้เช่นฮาร์ดแวร์บุคคล รถยนต์หรือข้าวของเครื่องใช้ในการดำเนินงานของระบบ2. แนวความคิดที่เป็นนามธรรม หมายถึง สิ่งที่อยู่ในระบบที่ไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้เช่น ข้อมูลข่าวสาร หรือเหตุการณ์ต่าง ๆนอกจากนี้แล้ว จากตัวอย่างของระบบที่ยกมานั้น ยังแสดงถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับระบบ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ สภาพแวดล้อม (Environment) ภายนอกระบบ, ตัวระบบ (System) และส่วนประกอบของระบบ (System elements) ซึ่งก็คือสิ่งที่อยู่ภายในระบบนั่นเอง  ทำความเข้าใจระบบในการศึกษาหรือทำความเข้าใจถึงการทำงานของระบบใด ๆ ก็ตาม เราควรพิจารณาถึงปัจจัยให้ครบทั้ง 4 มุมมอง ดังแสดงรายละเอียดต่อไปนี้1. What วัตถุประสงค์ของระบบคืออะไร2. How วิธีการและขั้นตอนการทำงานเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายเป็นอย่างไร3. When เริ่มดำเนินการเมื่อไหร่และคาดว่าจะให้ผลงานสำเร็จลุล่วงเมื่อไร4. Who บุคคลหรือกลุ่มคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบการดำเนินงานต่าง ๆ ภายในระบบ  ประเภทของระบบถ้าพิจารณาระบบกับปฏิกิริยาและความสัมพันธ์ที่ดีต่อสภาพแวดล้อม จะสามารถแบ่งระบบออกเป็น 2 ประเภท คือ ระบบปิดและระบบเปิด ซึ่งแสดงรายละเอียดได้ดังนี้  ระบบปิดเป็นระบบที่ไม่ปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม โดยมุ่งหมายที่การทำงานภายในตนเอง โดยไม่เกี่ยวข้องหรือไม่รับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างของระบบปิดที่เห็นได้ชัดก็คือ ระบบการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่มีการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เริ่มจากรับวัตถุดิบเข้ามาเป็นอินพุต ดำเนินตามกระบวนการผลิตของเครื่องจักร ได้ผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นผลผลิต
 
ระบบเปิด
เป็นระบบที่ปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม มีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันกับสภาพแวดล้อมเป็นระบบที่เกิดขึ้นในธุรกิจ เนื่องจากในการทำธุรกิจจะต้องมีการติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างระบบสิ่งแวดล้อมภายนอกตลอดเวลา เช่น ลูกค้า ผู้เสนอขาย ปัจจัยการผลิต คู่แข่ง หรือระบบสนับสนุนการตัดสินใจ เป็นต้น               จากรูปจะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างระบบเปิดและระบบสนับสนุนการตัดสินใจ เริ่มจากการนำข้อมูลจากสภาพแวดล้อมเข้าสู่ระบบ โดยข้อมูลนั้นจะถูกประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์จากนั้นผู้ที่ตัดสินใจจะเป็นผู้ปรับเปลี่ยนทิศทางของข้อมูลข่าวสาร และใช้ข้อมูลข่าวสารนั้นในการตัดสินใจ ซึ่งผลการตัดสินใจจะถูกป้อนกลับมาเป็นข้อมูลของระบบอีกครั้ง แสดงว่าการตัดสินใจมีผลต่อการปฏิบัติงานในอนาคตของระบบนั้น คุณลักษณะที่สำคัญของระบบ ระบบที่ดีนั้นประกอบด้วยคุณสมบัติที่สำคัญต่าง ๆ มากมายหลายข้อด้วยกัน ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะช่วยควบคุมให้ระบบได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพ มาตรฐานเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับทุกระบบ ยกตัวอย่างเช่น ระบบร่างกายของมนุษย์จะต้องควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ที่98.6 องศาฟาห์เรนไฮต์ (ซึ่งเป็นอุณหภูมิปกติ) ถ้ามากกว่านี้เล็กน้อยระบบร่างกายก็ยังพอรับได้แต่ถ้าสูงมากเกินจะไม่สบาย ต้องสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อปรับจนอุณหภูมิเข้าสู่ภาวะปกติการสร้างระบบก็เช่นเดียวกัน จำเป็นจะต้องมีการกำหนดมาตรฐานของระบบนั้น โดยมีการวัดค่า เปรียบเทียบ และมีผลย้อนกลับเพื่อปรับแก้ให้กลับมาสู่มาตรฐาน โดยคุณสมบัติที่สำคัญเหล่านั้นสรุปได้ดังนี้1.             ระบบจะต้องมีมาตรฐานที่สามารถยอมรับได้2.             ระบบจะต้องมีวิธีการวัดว่าตรงกับสิ่งที่เป็นจริงตามที่ทำงานอยู่3.             ระบบจะต้องมีการเปรียบเทียบการทำงานที่แท้จริงกับระบบมาตรฐานที่จัดทำขึ้นนั้น4.              ระบบจะต้องมีวิธีการแสดงผลย้อนกลับ หลังจากใช้ระบบไปแล้วรู้จักกับตัวแบบถ้าพูดถึงระบบหรือการศึกษาถึงระบบต่าง ๆ สามารถทำได้ง่ายขึ้นเมื่อนำตัวแบบเข้ามาช่วยตัวต้นแบบหรือตัวแบบเป็นกระบวนการสร้างแบบ หรือตัวอย่างที่ใช้นำเสนอตัวสินค้า การบริการหรือระบบ ถ้าจะนึกถึงตัวต้นแบบมนุษย์เราใช้ต้นแบบอยู่ตลอดเวลา เช่น1.              ในการผลิตรถยนต์เพื่อแสดงถึงลักษณะของความปลอดภัยในการใช้งาน รูปลักษณ์ของรถ กำลังอัดอากาศ และความสะดวกสบายที่ผู้ใช้จะได้รับ2.              ผู้รับเหมาก่อสร้าง จะสร้างแบบของบ้านและโครงสร้างอื่น ๆ เพื่อแสดงรูปแบบและทางหนีไฟ3.              ผู้สอนให้ตัวอย่างคำถามของข้อสอบสำหรับการสอบที่จะมีขึ้น ตัวอย่างข้อสอบนี้จะเป็นตัวแบบของคำถามที่คิดว่าจะมีในข้อสอบในการพัฒนาระบบนั้น ตัวต้นแบบถือเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อนักพัฒนาระบบ ตัวต้นแบบสร้างจากความต้องการพื้นฐาน หรือกระบวนการที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กัน โดยมีการใช้ความรู้ของผู้ทำงานกับระบบเพื่อทบทวนตัวต้นแบบ และมีการแนะนำเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวต้นแบบและแก้ไขรวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตัวต้นแบบ ถ้าจะแบ่งประเภทของตัวต้นแบบสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือตัวแบบทั่วไป หมายถึง ตัวแบบที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสิ่งแวดล้อมได้อย่างกว้างขวางเป็นตัวแบบที่ใช้งานบ่อยมากที่สุด ตัวอย่างเช่น แบบฟอร์มจดหมาย หนังสือราชการตัวแบบเฉพาะเจาะจง หมายถึง ตัวแบบที่สร้างขึ้นเพื่องานเฉพาะอย่าง เพื่อนำไปใช้กับสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น รถยนต์ต้นแบบ นำตัวแบบไปใช้ในการพัฒนาระบบในการพัฒนาระบบใด ๆ ขึ้นมาก็ตาม มีกระบวนการหรือขั้นตอนมากมายกว่าที่จะเสร็จเป็นระบบขึ้นมา ซึ่งในระหว่างกระบวนการเหล่านั้นมีหลายส่วนที่นำเอาตัวแบบเข้ามาใช้งาน ดังแสดงรายละเอียดต่อไปนี้เก็บรวบรวมข้อมูลตัวต้นแบบถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ดีเครื่องมือหนึ่ง นักพัฒนาระบบเริ่มจากการสร้างตัวต้นแบบที่เป็นพื้นฐานของความต้องการของระบบ จากนั้นนักพัฒนาระบบจะมอบหมายให้ผู้ใช้ระบบใส่ความรู้เพื่อเพิ่มความต้องการในเรื่องข้อมูลและกระบวนการอื่น ๆ แล้วนักพัฒนาระบบจะตรวจสอบตัวต้นแบบอีกครั้งหนึ่ง จนกว่าจะได้ข้อมูลที่ต้องการครบ  พิจารณาความต้องการในกระบวนการพัฒนาระบบ ผู้ทำงานอาจไม่แน่ใจว่านักพัฒนาระบบต้องการอะไร ผู้ทำงานจะรู้แค่ว่าระบบเดิมไม่สามารถทำงานได้อย่างที่ผู้ใช้ต้องการ ดังนั้น นักพัฒนาระบบสามารถใช้ตัวต้นแบบในการช่วยให้ผู้ทำงานสามารถตัดสินใจว่าความต้องการที่แท้จริงนั้นคืออะไรพิสูจน์ว่าระบบมีความเป็นไปได้ในการใช้งานความต้องการใช้ระบบมีข้อจำกัดบางอย่างที่เทคโนโลยีไม่สามารถทำงานให้ได้เช่น ความรู้ทางด้านเทคนิค บางครั้งนักพัฒนาระบบอาจจะไม่มีความชำนาญมากพอ ดังนั้นภายในขอบเขตของการพัฒนาระบบจะต้องมีการทบทวนความเป็นไปได้ทางด้านเทคนิค ซึ่งนักพัฒนาระบบไม่แน่ใจว่าระบบที่จะสร้างขึ้นนั้นสามารถทำงานได้ตัวต้นแบบจึงเป็นสิ่งแรกที่นักพัฒนาระบบสามารถมองเห็นความเป็นไปได้ในการสร้างระบบใหม่หรือพัฒนาระบบใหม่โดยตัวต้นแบบที่นักพัฒนาระบบใช้ในการนำเสนอระบบ เพื่อพิสูจน์ความเป็นไปได้ทางด้านเทคนิค เรียกว่า Proof-of-concept prototypeเสนอขายระบบใหม่ในการเสนอขายความคิดเพื่อพัฒนาระบบขึ้นมาใหม่มักจะมีกลุ่มคนจำนวนมากที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ดูเหมือนว่าจะทำงานได้ดีอยู่แล้ว และไม่มีเหตุผลในการศึกษาและเรียนรู้เพื่อการใช้ระบบใหม่ในกรณีนี้นักพัฒนาระบบจะต้องจูงใจให้ผู้ใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนความคิด ด้วยการนำเสนอว่าระบบใหม่ดีกว่าระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบันและด้วยเหตุผลที่ว่าตัวต้นแบบจะทำให้มองเห็นภาพการทำงานของระบบจริงได้อย่างดีที่สุด และใช้เวลาน้อยในการพัฒนา ตัวต้นแบบจึงถูกใช้ในการเสนอขายระบบ โดยตัวต้นแบบที่นักพัฒนาระบบใช้เพื่อการจูงใจ เรียกว่า Selling prototype  กระบวนการสร้างตัวต้นแบบตัวต้นแบบเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบ โดยเป็นเสมือนภาพจำลองการทำงานของระบบจริงที่กำลังจะสร้างขึ้น ดังนั้นการสร้างตัวต้นแบบจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญโดยกระบวนการสร้างตัวต้นแบบมีอยู่4 ขั้นตอน รูปที่1.6 กระบวนการสร้างตัวต้นแบบ1. สำรวจความต้องการเบื้องต้นสำหรับขั้นตอนแรก นักพัฒนาระบบจะรวบรวมความต้องการเบื้องต้นเพื่อนำเสนอระบบ โดยความต้องการเบื้องต้นจะรวมถึงข้อมูลนำเข้าและข้อมูลออก รวมทั้งกระบวนการทำงานแบบง่าย ๆ โดยในขั้นตอนนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการแก้ไข ความปลอดภัย และการสิ้นสุดกระบวนการ  2. พัฒนาตัวต้นแบบแรกจากความต้องการเบื้องต้นที่สำรวจมาในขั้นแรก นักพัฒนาระบบจะเริ่มพัฒนาตัวต้นแบบแรก ซึ่งส่วนมากแล้วตัวต้นแบบแรกจะรวมถึงส่วนประสานงานกับผู้ใช้(User Interface) ซึ่งก็คือ หน้าจอการป้อนข้อมูลเข้า และหน้าจอการแสดงผลหรือออกรายงาน3. ทบทวนตัวต้นแบบโดยทีมเมื่อเข้าสู่ขั้นตอนนี้ทีมงานจะประเมินตัวต้นแบบที่สร้างขึ้น และให้คำแนะนำถ้าต้องเปลี่ยนแปลงบางส่วนหรือเพิ่มเติมในบางส่วน โดยในขั้นตอนนี้มีความจำเป็นมากที่ต้องให้ทีมงานซึ่งมีความสามารถเข้าร่วมในการพิจารณา เพื่อช่วยแยกแยะและมองถึงความแตกต่างในแต่ละส่วนของกระบวนการทำงาน4. แก้ไขและเสริมการทำงานของตัวต้นแบบขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการของตัวต้นแบบ เป็นการแก้ไขและเสริมการทำงานของตัวต้นแบบตามแต่คำแนะนำของทีมงาน ในขั้นตอนนี้นักพัฒนาระบบสามารถเปลี่ยนไปยังตัวต้นแบบเดิม และเพิ่มความต้องการใหม่เข้าไป ก่อนที่จะกลับไปยังขั้นตอนทบทวนตัวต้นแบบโดยทีมอีกครั้ง ประโยชน์และข้อจำกัดของการใช้ตัวต้นแบบเมื่อเข้าใจความหมายของตัวต้นแบบและกระบวนการพัฒนาตัวต้นแบบแล้ว ควรทราบถึงประโยชน์หรือข้อดีของการนำตัวต้นแบบไปใช้งาน ซึ่งแสดงรายละเอียดได้ดังนี้1.    สนับสนุนการมีส่วนร่วมของทีม เนื่องจากในกระบวนการสร้างตัวต้นแบบจะมีการสำรวจความต้องการ และอนุญาตให้ทีมงานแสดงความคิดเห็นของระบบใหม่ที่จะสร้างขึ้นผ่านตัวต้นแบบ2.    แก้ไขข้อผิดพลาดของระบบ การสร้างตัวต้นแบบขึ้นมาจะทำให้ง่ายต่อการมองเห็นสิ่งที่ผิดพลาดของระบบ ซึ่งสามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ก่อนที่จะสร้างระบบจริง3.    มองเห็นความสำเร็จของการพัฒนาระบบ การสร้างตัวต้นแบบทำให้ทีมงานมองเห็นและเข้าใจได้ว่าการทำงานของระบบจะเป็นอย่างไร และรู้สึกได้ถึงความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบ4.    พิจารณาถึงความเป็นไปได้ทางเทคนิค การสร้างตัวต้นแบบทำให้ทีมงานสามารถพิจารณาในส่วนของความเป็นไปได้ทางเทคนิคของระบบใหม่ที่จะพัฒนาขึ้น5.    ง่ายต่อการชักจูงใช้ระบบใหม่ตัวต้นแบบจะทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกได้ถึงความน่าใช้งานของ ระบบใหม่ที่จะพัฒนาขึ้น         เมื่อกล่าวถึงประโยชน์หรือข้อดีของตัวต้นแบบไปแล้ว ในทางกลับกันตัวต้นแบบเองก็มีข้อจำกัดอยู่บางประการ ดังแสดงต่อไปนี้1.  ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าระบบใหม่ที่จะพัฒนาขึ้นนั้นจะเสร็จในเวลาไม่นาน ซึ่งในความเป็นจริงถึงแม้ว่าจะสร้างตัวต้นแบบเสร็จแล้ว แต่การพัฒนาระบบจริงอาจจะใช้เวลาอีกเป็นเดือนหรือเป็นปี2.  ไม่ได้บอกวิธีการใช้งานภายใต้ข้อกำหนด โดยในการใช้ระบบจริงนั้นจะมีข้อกำหนดหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ในการใช้ตัวต้นแบบมักจะทดสอบโดยไม่ได้คำนึงถึงข้อกำหนดหรือสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นเวลาใช้ระบบจริง3.   ทีมดูแลโครงการละเลยต่อการทดสอบและจัดทำเอกสาร นักพัฒนาระบบส่วนใหญ่ละเลยต่อการทดสอบและจัดทำเอกสารเมื่อใช้ตัวต้นแบบ ซึ่งนักพัฒนาระบบได้ทดสอบกับตัวต้นแบบแต่กลับไม่มีเอกสารเกี่ยวกับตัวต้นแบบ  
 
 
   ระบบงานพื้นฐานที่ใช้ในธุรกิจ
 
             ทุกวันนี้ธุรกิจภาคเอกชน ทั้งที่มีขนาดใหญ่และขนาดเล็กล้วนต้องการสารสนเทศด้วยเหตุผลต่าง ๆ กัน ในการทำธุรกิจนั้น บริษัทและผู้บริหารต้องการสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ การตัดสินใจ และการแก้ปัญหา หากไม่มีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะต้องตัดสินใจหรือแก้ปัญหาแล้ว การตัดสินใจก็อาจจะผิดพลาดและก่อให้เกิดความเสียหายได้ ด้วยเหตุนี้เองการจัดเก็บสารสนเทศที่ถูกต้องและเหมาะสมเอาไว้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้สามารถค้นคืนมาใช้ได้เมื่อจำเป็นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการที่จะทำให้บริษัทบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ
                แม้ว่าการพัฒนาระบบสารสนเทศส่วนใหญ่จะมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยประกอบการทำงาน และ ช่วยในการตัดสินใจแก้ปัญหา นอกจากนี้ยังมีการสร้างระบบสารสนเทศเพื่อให้บริษัทและหน่วยงานใช้สำหรับการวางแผนพัฒนาบริษัทและหน่วยงานในระยะยาว ระบบสารสนเทศแบบนี้เรียกว่า ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์ (Strategic Information System หรือ SIS) บริษัทและหน่วยงานสามารถบรรลุความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ได้โดยการใช้กลยุทธ์ในการเสริมสร้างจุดแข็งให้มากที่สุด ความได้เปรียบในการแข่งขัน (competitive advantage) และ ความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ (strategic advantage) ในความหมายเดียวกัน กลยุทธ์ทางธุรกิจนั้นปกติหมายถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ตลาดใหม่ และ บริการแบบใหม่ ซึ่งรวมแล้วมีความหมายว่าพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องต่อความต้องการของลูกค้าที่ยังไม่มีใครตอบสนองมาก่อน การเปลี่ยนบริการให้รองรับลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ การผูกมัดใจลูกค้าเดิมให้ภักดีต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เรามีอยู่ หรือการดำเนินการใด ๆ ที่เพิ่มคุณค่าให้แก่บริษัท
               เมื่อพูดถึงองค์ประกอบรวมของระบบสารสนเทศก็อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการทำงานที่เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งประกอบด้วย
               1. ฮาร์ดแวร์ ซึ่งได้แก่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
               2. ซอฟต์แวร์ ซึ่งได้แก่โปรแกรมต่าง ๆ สำหรับประมวลผลข้อมูล
               3. ระบบสื่อสารโทรคมนาคม สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เช่น ระบบ LAN
               4. ข้อมูล ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับหน่วยงาน
               5. บุคลากร ซึ่งทำหน้าที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศ
               6. คู่มือและวิธีการปฏิบัติงาน ซึ่งจำเป็นสำหรับใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงานให้สำเร็จ

              การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
ไมเคิล พอร์เตอร์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง ความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) กล่าววา การแข่งขันก็คือแก่นของความสำเร็จหรือความล้มเหลวของธุรกิจภาคเอกชน กลยุทธ์ในการแข่งขันก็คือการค้นหาความได้เปรียบในการแข่งขันซึ่งจะนำไปสู่การควบคุมตลาด หรือการได้กำไรที่มากกว่าที่บริษัทอื่นทำได้ตามปกติ กลยุทธ์เช่นนั้นมีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้บริษัทสามารถได้กำไรได้อย่างยั่งยืนเหนือกว่าคู่แข่ง เมื่อบริษัทคู่แข่งรู้จักใช้ไอทีเหมือนกับเราก็จะทำให้เป็นเรื่องยากที่เราจะรักษาความได้เปรียบเอาไว้ได้ตลอดไป การเกิดนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอาจทำให้คู่แข่งขันสามารถพัฒนาระบบใหม่ ๆ ได้ในเวลาอันสั้นและทำให้นวัตกรรมที่สร้างขึ้นเมื่อปีก่อนกลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปได้ โดยปกติแล้วระบบสารสนเทศจะไม่สามารถช่วยให้บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืนได้
              แสดงว่าบริษัทสามารถใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ นานาหลายแบบในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
  • การลดต้นทุน
  • การสร้างอุปสรรคไม่ให้คู่แข่งเข้ามาในตลาด
  • การสร้างให้เกิดต้นทุนที่สูงถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์
  • การสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่
  • การทำให้เกิดผลิตภัณฑ์หรือบริการที่หลากหลาย
  • การปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ดีขึ้น
  • การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ และ
  • การผูกมัดกับผู้ส่งชิ้นส่วนและผู้ซื้อ



  • การใช้สารสนเทศเชิงกลยุทธ์เป็นอาวุธชิงความได้เปรียบ
                  ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์ (Strategic Information System) เป็นระบบที่สนับสนุนหรือช่วยทำให้เกิดกลยุทธ์ในการแข่งขันของหน่วยงาน ระบบ SIS มีลักษณะสำคัญคือสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกิจของหน่วยงานได้อย่างขนานใหญ่ ซึ่งนั่นก็คือสามารถทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ระบบ SIS ทำเช่นนี้ได้โดยการช่วยกำหนดเป้าหมายของหน่วยงาน หรือในการช่วยเพิ่มสมรรถนะและผลผลิตได้อย่างมาก
                  ระบบ SIS อาจมีลักษณะมองออกไปข้างนอกคือให้ความสนใจต่อลูกค้า หรือมองเข้ามาข้างในคือให้ความสนใจต่อตัวองค์กรเอง การมองไปข้างนอกเป็นการมุ่งที่การแข่งขันในตลาด เช่น การจัดหาบริการใหม่ ๆ ให้ลูกค้า หรือการผูกสัมพันธ์กับผู้ส่งชิ้นส่วนโดยมีจุดประสงค์ที่จะตีคู่แข่ง ส่วนระบบ SIS ที่มองเข้าข้างในนั้นจะเน้นที่การเพิ่มผลิตภาพของพนักงาน ปรับปรุงการทำงานเป็นทีม และ เสริมสร้างการสื่อสาร บริษัทและหน่วยงานอาจผสมผสานลักษณะทั้งการมองออกไปข้างนอกและมองเข้าข้างในไว้ด้วยกันก็ได้ เช่น ผสมผสาน การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (มองออกไปข้างนอก) กับระบบ Enterprise Resource Planning หรือ ระบบ Customer Resource Management) ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด

                  บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ(ไอที)
    เทคโนโลยีสารสนเทศได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการทำธุรกิจในยุคนี้ ไอทียังเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานทั้งในโครงสร้าง การปฏิบัติงาน และ การจัดการของหน่วยงานต่าง ๆ       ความสามารถสำคัญของระบบสารสนเทศมีดังนี้
  • สามารถคำนวณเลขจำนวนมาก ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
  • ช่วยให้เกิดการสื่อสารที่แม่นยำและราคาเยาระหว่างผู้ที่อยู่ภายในและภายนอกองค์กร
  • จัดเก็บสารสนเทศจำนวนมหาศาลไว้ได้อย่างประหยัดเนื้อที่ แต่ค้นคืนได้ง่าย
  • สามารถเข้าถึงสารสนเทศจำนวนมากที่จัดเก็บอยู่ทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วและด้วยราคาประหยัด
  • ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้แก่คนที่ทำงานเป็นทีมทั้งในสำนักงานเดียวหรือต่างสำนักงาน
  • สามารถแสดงสารสนเทศได้อย่างชัดเจนทำให้เกิดแนวคิดได้หลากหลาย
  • ปรับการทำงานที่ใช้มือและกึ่งอัตโนมัติให้เป็นงานแบบอัตโนมัติได้
  • ช่วยทำงานที่กล่าวถึงข้างบนนี้ได้อย่างประหยัดกว่าการทำด้วยมือ
          
    ความสามารถเหล่านี้ช่วยทำให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายต่อไปนี้ คือ
  • เพิ่มผลผลิต
  • ลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย
  • ปรับปรุงการตัดสินใจให้มีคุณภาพมากขึ้น
  • เสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และ
  • พัฒนางานประยุกต์เชิงกลยุทธ์ใหม่ ๆ
          ไอทีสามารถช่วยการจัดการเชิงกลยุทธ์ได้หลายวิธี เช่น
  • ไอทีช่วยทำให้เกิดงานประยุกต์ที่ทำให้เกิดข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์แก่หน่วยงาน
  • ไอทีช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางกลยุทธ์ เช่น การทำรีเอนจิเนียริง
  • ไอทีทำให้ได้รับข่าวกรอง (intelligence) ทางธุรกิจ ด้วยการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์สารสนเทศเกี่ยวกับนวัตกรรม คู่แข่ง ตลาด และ การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม


  •                การที่บริษัทจะปฏิบัติงานอย่างได้ผลนั้นจำเป็นที่บริษัทจะต้องใช้ระบบสารสนเทศ บริษัทสามารถดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจไปด้วยและขณะเดียวกันก็สามารถลดข้อผิดพลาดและความสูญเสียลงได้ด้วย เป้าหมายหลักของการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในหน่วยงานก็คือการทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และ ทำให้เกิดคามได้เปรียบในการแข่งขันด้วยการลดต้นทุนและปรับบริการให้ดีขึ้น
                  ความสำเร็จขององค์การใด ๆ นั้นส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับคุณภาพในการตัดสินใจของฝ่ายจัดการ ถ้าหากการตัดสินใจต้องใช้สารสนเทศจำนวนมากและต้องคำนวณหรือประมวลผลที่ซับซ้อนแล้ว ระบบสารสนเทศจะเป็นประโยชน์มาก ระบบสารสนเทศที่ช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหารมีอยู่หลายแบบด้วยกัน เช่น ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (DSS) ระบบสารสนเทศผู้บริหาร (EIS) และ ระบบผู้เชี่ยวชาญ
                  ได้พิจารณาระบบสารสนเทศแบบต่าง ๆ และความเชื่อมโยงไปยังฟังก์ชันต่าง ๆ ในองค์การ ความสัมพันธ์กับความจำเป็นทางธุรกิจ และ ระดับการจัดการในองค์การ โดยปกติเราสามารถแบ่งประเภทของระบบสารสนเทศได้ตามระดับความซับซ้อนของระบบ และ ประเภทของงานที่ระบบนั้นช่วยสนับสนุน แสดงว่าหน่วยงานต้องการระบบสารสนเทศแบบใดบ้างโดยแยกตามระดับของการปฏิบัติงานและการบริหาร ทั่วไปแล้วความสัมพันธ์นี้จะเป็นจริง แต่ความต้องการสารสนเทศจะแตกต่างกันมาก หากระบบสารสนเทศสามารถให้บริการสารสนเทศแก่ผู้ต้องการในทุกระดับของหน่วยงานได้แล้วความสัมพันธ์แบบนี้ก็จะไม่ค่อยถูกต้องกับความจริงนัก
                  การใช้อินเทอร์เน็ตกับธุรกิจภาคเอกชน
                  ปัจจุบัน นโยบายของภาครัฐ มีการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ ธุรกิจภาคเอกชน สามารถทำการแข่งขันและทำการค้าได้เพิ่มขึ้น โดยมีมาตรการสนับสนุนต่างๆจากหลายๆ กระทรวงทบวงกรม หนึ่งในนั้นคือเรื่องการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ช่วยในการประกอบการค้า เทคโนโลยีสารสนเทศในที่นี้คงหนีไม่พ้นเรื่อง การใช้งานอินเทอร์เน็ตและระบบที่เกี่ยวข้อง พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จึงเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่รัฐบาลหมายมั่นจะให้ธุรกิจภาคเอกชนสามารถ เข้าไปใช้งานได้เพื่อเพิ่มโอกาสต่างๆให้มากขึ้น

                  พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์คืออะไร
                  ถ้าจะกล่าวกันสั้นๆก็คือการทำ "การค้า"ผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ นั่นเอง โดยคำว่าสื่ออิเล็กทรอนิกส์นั้นจะครอบคลุมตั้งแต่ ระดับเทคโนโลยีพื้นฐาน อาทิ โทรศัพท์ โทรสาร โทรทัศน์ ไปจนถึงเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนกว่านี้ แต่ว่าในปัจจุบันสื่อที่เป็นที่ นิยมและมีความแพร่หลายในการใช้งานคืออินเทอร์เน็ตและมีการนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการทำการค้ามาก จนทำให้เมื่อพูดถึงเรื่อง พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์คนส่วนใหญ่จะเข้าใจไปว่าคือการทำการค้าผ่านอินเทอร์เน็ตนั่นเอง นอกจากนั้นปัจจุบันอาจได้ยินอีกหลายๆ คำ อาทิ e-Business, e-Procurement, e-Readiness, e-Government ซึ่งล้วนมีความสัมพันธ์กันทั้งสิ้น ในการที่นำเอา เทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ตมาประยุกต์ใช้งาน
                  ส่วนคำว่า e-Business นั้น คือ การดำเนินกิจกรรมทาง "ธุรกิจ" ต่างๆ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การใช้คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสารและอินเทอร์เน็ต เพื่อทำให้กระบวนการทางธุรกิจมีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของคู่ค้า และลูกค้าให้ตรงใจ และรวดเร็วและเพื่อลดต้นทุน และขยายโอกาสทางการค้า และการบริการ เมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัลจะมีคำศัพท์ที่ได้ยินบ่อยๆ อาทิ
  • BI=Business Intelligence: การรวบรวมข้อมูลข่าวสารด้านตลาด ข้อมูลลูกค้า และ คู่แข่งขัน
  • EC=E-Commerce: เทคโนโลยีที่ช่วยทำให้เกิดการสั่งซื้อ การขาย การโอนเงินผ่านอินเทอร์เน็ต
  • CRM=Customer Relationship Management: การบริหารจัดการ การบริการ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจกับทั้งสินค้า บริการ และ บริษัท ระบบ CRM        จะใช้ไอทีช่วยดำเนินงาน และ จัดเตรียมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการบริการลูกค้า
  • SCM=Supply Chain Management: การประสาน ห่วงโซ่ทางธุรกิจ ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบ ผู้ผลิต ผู้จัดส่ง ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก จนถึงมือผู้บริโภค
  • ERP=Enterprise Resource Planning: กระบวนการของสำนักงานส่วนหลัง และ การผลิต เช่น การรับใบสั่งซื้อการจัดซื้อ การจัดการใบส่งของ การจัดสินค้าคงคลัง        แผนและการจัดการการผลิต- ระบบ ERP จะช่วยให้ประบวนการดังกล่าวมีประสิทธิภาพและลดต้นทุน



  • ความหมายของระบบสารสนเทศ

                  ระบบสารสนเทศ (Information System หรือ IS) หมายถึง ระบบงานมีการทำงานโดยการประยุกต์คอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารโทรคมนาคมที่ทำหน้าที่รับข้อมูล (input) แล้วนำมาประมวลผล (process) ให้เป็นสารสนเทศ (information) ในรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่การใช้งาน พร้อมกันนั้นก็ยังจัดเก็บข้อมูลที่รับไว้นั้นลงเก็บไว้ในสื่อบันทึกทำให้เกิดเป็นฐานข้อมูล (database) ด้วย
                  ธุรกิจภาคเอกชนได้เล็งเห็นความสำคัญของระบบสารสนเทศมานานแล้ว และหลายแห่งได้พัฒนาระบบสารสนเทศขึ้นใช้งานได้มากบ้างน้อยบ้างตามความระดับสามารถ และความต้องการ มาปัจจุบันนี้ธุรกิจภาคเอกชนที่ยังไม่ได้ใช้ระบบสารสนเทศมาก่อนก็เริ่มสนใจพัฒนาขึ้นใช้มากขึ้น ทั้งนี้เพราะ
  • ผู้บริหารเริ่มตระหนักถึงประโยชน์ที่ได้รับจากระบบสารสนเทศ
  • คอมพิวเตอร์มีความสามารถมากขึ้นในขณะที่ราคาถูกลง
  • โปรแกรมมีความสามารถมากขึ้นและทำงานได้หลายแบบ
  • ระบบโทรคมนาคมมีความรวดเร็วและเชื่อถือไว้ใจได้ทำให้หน่วยงานเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตและเวิลด์ไวด์เว็บได้อย่างกว้างขวาง
  • การขยายตัวของระบบอินเทอร์เน็ตทำให้เกิดโอกาสใหม่ ๆ ในการทำธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ต หรือที่เรียกว่าการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
  • พนักงานที่รู้จักใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตมีจำนวนมากขึ้น


  •               ปัจจุบันนี้บริษัทที่ไม่ใช้ระบบสารสนเทศจะไม่มีทางที่จะแข่งขันกับบริษัทอื่นได้ นอกจากนั้นยังไม่สามารถที่จะดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ด้วย

                  ระบบสารสนเทศสำหรับธุรกิจ
           ทุกวันนี้ธุรกิจภาคเอกชนใช้ระบบสารสนเทศในทุกสายงาน ระบบสารสนเทศเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการประมวลผล การตัดสินใจ การแก้ปัญหา และการปฏิบัติงานของทั้งหน่วยงาน
               สายงานที่ต้องการะบบสารสนเทศ
  • งานบัญชี
  • งานการเงิน
  • งานการตลาด
  • งานผลิต
  • งานทรัพยากรมนุษย์
  • งานอื่น ๆ


  •               ธุรกิจองค์กรเอกชนได้แบ่งประเภทของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการได้ดังนี้
    ระบบประมวลผลธุรกรรม (Transaction Processing System หรือ TPS)

                  ระบบ TPS เป็นระบบสารสนเทศธุรกิจแบบพื้นฐานและอาจจัดเป็นกระดูกสันหลังของระบบสารสนเทศอื่น ๆ ได้ หน้าที่หลักของระบบ TPS ก็คือการควบคุม การเก็บ การบันทึก การประมวลผล และ การกระจายธุรกรรม (transaction) ทางธุรกิจของหน่วยงานออกไป นอกจากนั้นระบบนี้ยังเป็นตัวแจกจ่ายข้อมูลไปยังระบบงานประยุกต์อื่น ๆ เช่น ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ เราถือว่าระบบ TPS นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จขององค์การต่าง ๆ เพราะเป็นระบบที่สนับสนุนการปฏิบัติงานหลักขององค์การ เช่น การจัดซื้อวัสดุครุภัณฑ์ การเรียกเก็บเงินลูกค้า การเตรียมบัญชีเงินเดือน หรือการส่งสินค้าให้แก่ลูกค้า
                  ระบบ TPS รวบรวมข้อมูลที่เกิดขึ้นกับหน่วยงานตลอดเวลา บางระบบรวบรวมข้อมูลทุกวัน และบางระบบก็อาจจะรวบรวมเก็บข้อมูลในแบบเรียลไทม์ (real time) คือเก็บข้อมูลทันทีทันใดที่ข้อมูลนั้นเกิดขึ้น ข้อมูลเหล่านี้ส่วนใหญ่จะจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลขององค์การและใช้สำหรับการประมวลผลในด้านต่าง ๆ

    วัตถุประสงค์หลักของระบบ TPS ก็คือ


  • เพื่อให้การปฏิบัติงานของหน่วยงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
  • เพื่อจัดทำเอกสารรายงานได้ทันกำหนด
  • เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันของหน่วยงาน
  • เพื่อจัดส่งข้อมูลให้แก่ระบบกลวิธีและระบบกลยุทธ์
  • เพื่อให้ความมั่นใจว่าข้อมูลและสารสนเทศจะแม่นยำและไม่ผิดพลาด
  • เพื่อปกป้องความมั่นคงปลอดภัยของสารสนเทศและข้อมูล


  •               ระบบ TPS มักจะเป็นระบบที่ถูกรื้อปรับระบบก่อน นอกจากนั้นยังเป็นระบบที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่การลงทุนมากที่สุด ระบบ TPS มักจะเชื่อมต่อกับระบบงานประยุกต์ด้านไอทีอื่น ๆ ในหน่วยปฏิบัติการเช่น ระบบ supply chain management และ enterprise resource planning
                  ระบบจัดการสารสนเทศ (Management Information System หรือ MIS)
    หน่วยปฏิบัติการต่าง ๆ ภายในองค์การนั้นทำหน้าที่มากมายหลายอย่าง งานบางอย่างมีลักษณะที่ต้องทำซ้ำ ๆ เหมือนกันหลายหน และงานบางอย่างอาจจะทำเป็นครั้งคราว ยกตัวอย่างเช่น แผนกทรัพยากรบุคคล ทำหน้าที่ว่าจ้าง ฝึกอบรม และ ให้คำปรึกษาแก่บุคลากร หน่วยปฏิบัติการหรือแผนกเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ระบบสารสนเทศที่ออกแบบและสนับสนุนกิจกรรมภายในเป็นพิเศษ ระบบเหล่านี้เรียกว่า functional MIS หรือ ระบบ MIS เฉย ๆ
                  ระบบ MIS ในหน่วยงานต่าง ๆ นั้นได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อให้หน่วยงานสามารถทำงานได้ตามกลยุทธ์ทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยปกติแล้วระบบ MIS ช่วยจัดทำสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และ ผลผลิตของการปฏิบัติงาน โดยการดึงสารสนเทศออกจากฐานข้อมูลขององค์การแล้วนำมาประมวลผลตามความต้องการของผู้ใช้
                  ระบบ MIS นั้นบางครั้งมีผู้เรียกว่าเป็น tactical system และจัดทำขึ้นเพื่อช่วยงานของผู้บริหารระดับกลางอย่างเช่น การวางแผนระยะสั้น การควบคุมการดำเนินงาน และ การจัดรูปแบบงาน ยกตัวอย่างเช่น การพยากรณ์การขายตามเขตหรือภูมิภาค เป็นรายงานที่ผู้บริหารการตลาดอยากทราบและจะหาได้จากระบบ MIS โดยทั่วไป ระบบ MIS สามารถช่วยงานต่อไปนี้ได้
  • การหาค่าทางสถิติ
  • การจัดทำรายงานยกเว้น
  • การจัดทำรายงานเป็นรายคาบ หรือ รายงานเฉพาะกิจ
  • การวิเคราะห์เปรียบเทียบ
  • การพยากรณ์
  • การเตือนปัญหาล่วงหน้า
  • การตัดสินใจตามปกติ
  • การเชื่อมโยงไปยังระบบอื่น


  •               โดยทั่วไปอาจกล่าวได้ว่า ระบบ MIS ช่วยให้ผู้บริหารบอกได้ว่าขณะนี้เกิดอะไรขึ้นกับการปฏิบัติงานในหน่วยงานหรือในองค์การบ้าง
                  
    ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System หรือ DSS)

          ระบบ DSS ได้รับการออกแบบให้ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง ระบบนี้มีลักษณะการทำงานแบบโต้ตอบ (interactive) และ ผู้ใช้แต่ละคนสามารถควบคุมการใช้งานได้ ภาษาระดับสอบถามระดับสูง (high level query language) ช่วยให้ผู้ใช้ตั้งเงื่อนไขในการสอบถามฐานข้อมูลได้โดยง่าย ทำให้ระบบ DSS เหมาะแก่ปัญหาแบบไม่มีโครงสร้าง (unstructured problem) เช่นการวางแผนกลยุทธ์ ระบบ MIS สามารถช่วยให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้บริหารได้โดยจัดทำเป็นรายงานต่าง ๆ แต่ระบบ DSS จะช่วยให้ผู้บริหารทดสอบแนวทางอื่น ๆ ได้ว่าควรจะตัดสินใจแบบใด การทดสอบนี้ก็คือการทำ การวิเคราะห์แบบ What-if และ Goal-seeking
    โดยทั่วไประบบ DSS มีลักษณะสำคัญต่อไปนี้
  • สนับสนุนการจัดการทุกระดับ
  • สนับสนุนการตัดสินใจและการแก้ปัญหาทุกขั้นตอน
  • ผู้ใช้สามารถปรับแต่งให้เข้ากับเงื่อนไขต่าง ๆ ได้
  • สร้างและใช้ง่าย และช่วยให้เกิดการเรียนรู้
  • มักจะใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์
  • ช่วยในการทำ Sensitivity analysis
    โดยทั่วไปอาจกล่าวได้ว่าระบบ DSS ช่วยในการหาคำตอบว่าหากตัดสินใจในแบบนั้น ๆ แล้ว จะเกิดอะไรขึ้น



  •               
    ระบบสารสนเทศผู้บริหาร (Executive Information System หรือ EIS)

          ระบบ DSS จำนวนมากที่พัฒนาขึ้นนั้นมีจุดมุ่งหมายสำหรับช่วยงานผู้บริหารระดับกลาง และ ผู้เป็นนักวิชาชีพหลายสาขา ระบบ DSS บางระบบจัดทำขึ้นสำหรับช่วยงานวางแผน งานวิเคราะห์ งานวิจัย ตลอดจนงานบริหารอื่น ๆ ด้วย แต่สำหรับผู้บริหารระดับสูงแล้วความต้องการมีมากกว่าการสนับสนุนการตัดสินใจ คือต้องการระบบที่สามารถให้ข้อมูลข่าวสารทั้งในแบบสรุปและสามารถเจาะลึกได้ในแบบออนไลน์ ระบบที่จัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนงานในลักษณะนี้นิยมเรียกว่า ระบบ Executive Information System หรือ EIS
          ระบบ EIS จึงหมายถึงระบบที่ช่วยให้ผู้บริหารได้รับข้อมูลและสารสนเทศได้อย่างรวดเร็ว ทันทีทันใดที่ต้องการ ระบบ EIS ได้รับการพัฒนาให้ใช้ง่าย สามารถจัดทำรายงานความผิดปกติ และ สามารถเจาะลึกรายละเอียดได้ นอกจากนั้นยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบบริการข้อมูลภายนอก เช่นระบบข่าว และ ระบบอีเมล์ด้วย
    ระบบสนับสนุนการบริหารจัดการที่กล่าวมานั้นอาจสรุปย่อ ๆ ได้ดังแสดงในตารางต่อไปนี้
          
                  ระบบสารสนเทศที่กล่าวมาข้างต้นทุกแบบมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปฏิบัติงานและการบริหารงานของหน่วยงานต่าง ๆ สำหรับบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ได้เริ่มสนใจจัดทำระบบสารสนเทศขึ้นใช้กันมากขึ้นแล้ว ระบบส่วนใหญ่ที่เริ่มใช้เป็นระบบ Transaction Processing System และ หลายแห่งเริ่มจัดทำระบบ MIS ขึ้นใช้แล้ว ส่วนระบบ EIS นั้นมีใช้ในบริษัทขนาดใหญ่
                  ในส่วนของธุรกิจภาคเอกชนที่ผลิตและใช้สารสนเทศจำนวนมากนั้นผู้บริหารจะต้องรู้วิธีใช้สารสนเทศในกิจกรรมทางธุรกิจทุกด้าน ผู้บริหารจะต้องมีความเข้าใจการทำงานทุกส่วนของระบบ เพื่อที่จะได้รู้ว่าจะมีวิธีใดบ้างที่จะควบคุมคุณภาพ ต้นทุน และ การใช้ทรัพยากร หากไม่มีสารสนเทศแล้ว ก็ไม่อาจจะดำเนินกิจกรรมเหล่านี้หรือตัดสินใจในด้านบริหารได้ ในทางปฏิบัติแล้วระบบสารสนเทศที่ธุรกิจสร้างขึ้นมาเพื่อการใช้งานนั้น จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นพื้นฐาน ดังนั้นผู้บริหาร ธุรกิจภาคเอกชนควรให้ความสนใจ และติดตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย เพื่อจะทราบทิศทาง และประโยชน์ในการประยุกต์ใช้งาน ให้เหมาะสมกับองค์กรหรือหน่วยงานต่อไป


    .
     
    การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในงานด้านต่างๆ
     
    การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ [[59256]] คอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบันได้มีวิวัฒนาการก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งได้เข้ามามีบทบาทและส่วนร่วมไปกับทุกองค์กรไม่ว่าจะเป็น งานทางด้านการศึกษา ทางด้านการสื่อสาร ทางด้านสื่อสิ่งพิมพ์ ทางด้านโทรคมนาคม ทางด้านบันเทิง ทางด้านอุตสาหกรรม ทางด้านการธนาคาร ทางด้านธุรกิจโรงแรม ทางด้านตลาดหลักทรัพย์ ทางด้านธุรกิจสายการบิน และยังรวมไปถึงทางด้านการแพทย์ด้วย ธุรกิจทุกด้านที่ได้กล่าวมาในข้างต้นนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของการนำคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ในงานด้านธุรกิจแทบทั้นสิ้น เพราะงานทุกประเภทก็มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ และผลกำไรด้วยกันทั้งนั้น จึงถือว่างานทุกประเภทก็เป็นงานทางด้านธุรกิจเช่นเดีวยกัน เพราะฉนั้นการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาประยุกต์ใช้ในงานทางด้านธุรกิจจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมา และยังช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงาน ในการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานธุรกิจนั้นทำให้ธุรกิจมีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น และยังช่วยเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้กับบุคลากรภายในองค์กรได้อีด้วย [[59247]] ทั้งนี้ก็ทำให้ธุรกิจมีการเจริญเติบโตและมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น สามารถทัดเทียมกับคู่แข่งขันทางการค้าและการพาณิชย์ต่าง ๆ ได้ และยังเป็นโอกาศที่ดีที่ธุรกิจจะได้นำเอาความสามารถของคอมพิวเตอร์มาช่วยในการพัฒนางานทางด้านต่าง ๆ ให้กับองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการนำเอาโปรแกรมต่าง ๆ เข้ามาช่วยในเรื่องของการจ่ายเงินเดือน การพิมพ์ใบสั่งสินค้า การพิมพ์ใบเสร็จรับเงิน ด้านสินค้าคงคลัง การคำนวณค่าแรงของพนักงาน การเพิ่มผลผลิตของสินค้า การควบคุมอุณหภูมิภายในโกดังเก็บสินค้า การตรวจสอบคุณภาพของสินค้า การลงรายการประจำวันต่างๆ ทางด้านบัญชี การจัดทำงบการเงิน เป็นต้น ----------------------------------------------------------------------------------------------- ร่วมแบ่งปันความรู้โดย นางสาวปิยวรรณ เปรมประชา MIT11 รหัส 49233323

    การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ [[59265]] คอมพิวเตอร์ มาจากภาษาลาตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ ซึ่งมีนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ ดังนี้ เสาวคนธ์ อุ่นยนต์ และก่อกุล กีฬาพัฒน์ (2539 : 3) กล่าวว่า คอมพิวเตอร์ หมายถึง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความสามารถในการแปลงคำสั่ง ในโปรแกรม และทำงานตามคำสั่งนั้น ๆ ซึ่งเป็นคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับ การรับข้อมูลนำเข้า การคำนวณ การปฏิบัติการทางตรรกะ และการสร้างผลลัพธ์ตามที่ผู้ใช้ต้องการ ประพัฒน์ อุทโยภาส (2532 : 9) ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ว่า เป็นเครื่องมือที่มนุษย์สร้างขึ้นมาที่สามารถแก้ปัญหา เขียนภาพ พิมพ์อักษร เก็บรักษาและค้นหาข้อมูล เล่นเกม และอื่น ๆ อีกสารพัด ศรีศักดิ์ จามรมาน (2532 : 39) ได้กล่าวถึงคอมพิวเตอร์ว่า คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่มีการทำงานด้วยความเร็ว มีความสามารถในการจดจำสิ่งต่าง ๆ และนอกจากนี้คอมพิวเตอร์ยังให้ความละเอียดเที่ยงตรง (Accuracy) และมีความซื่อตรงต่อคำสั่ง (Faithfulness) สิทธิชัย ประสานวงศ์ (2526 : 1) กล่าวว่า คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องมือที่ใช้ในการคำนวณที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะ ยุพิน ไทยรัตนานนท์ (2527 : 11) ได้กล่าวว่า คอมพิวเตอร์ คือ เครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้งานแทนมนุษย์ในการคิดคำนวณ และสามารถจำข้อมูลทั้งตัวเลขและอักษร เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป นอกจากนี้ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ (Symbol) ด้วยความเร็วสูง ทักษิณา สวนานนณ์ (2530 : 12) กล่าวว่า คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเกิดจากการประดิษฐ์ คิดค้นขึ้นโดยมนุษย์ เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยผ่อนแรงสมองด้วยการประมวลผลข้อมูลได้ตามคำสั่งที่กำหนด สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2532 : 1) กล่าวว่า คอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างหนึ่ง ที่สามารถรับโปรแกรมและข้อมูลในรูปแบบที่เครื่องสามารถจะรับได้ แล้วทำการคำนวณ เคลื่อนย้ายข้อมูล เปรียบเทียบจนกระทั่งได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ จำนง ภูมิพันธุ์ (2533 : 15) ได้กล่าวถึง ความหมายของคอมพิวเตอร์ว่า คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีขั้นตอนการทำงานอย่างเป็นระบบ เพื่อจัดกระทำข้อมูลที่เป็นตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้ด้วยความเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ โดยดำเนินการจัดกระทำตามขั้นตอนของโปรแกรมที่วางไว้ สุพัตรา บุญมา (2537 : 4) ให้ความหมายว่า คอมพิวเตอร์ หมายถึง กลุ่มของ เครื่องจักร เครื่องมือ และอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมตัวกันเข้าเป็นระบบ (System) เฉลิมพล ทัพซ้าย (2534 : 7) กล่าวว่า คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถรับเอาข้อมูลและคำสั่งเข้าไปเก็บไว้ในหน่วยความจำ และสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาประมวลผลตามคำสั่งต่อเนื่องกันไปแล้วแสดงผลลัพธ์ออกมาในรูปแบบต่าง ๆ กุลยา นิ่มสกุล (2532 : 2) กล่าวว่า คอมพิวเตอร์ คือ เครื่องมือทันสมัยที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้ช่วยทำงานที่สลับซับซ้อนหรืองานที่มีปริมาณมาก ๆ ให้เสร็จด้วยความถูกต้องภายในระยะเวลาอันสั้น [[59271]] [[59272]] ดำรัสสิริ อุทยานานนท์ (2538 : 1) กล่าวว่า คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องจักรกลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีความสามารถในการทำการประมวลผลข้อมูล ซึ่งถูกป้อนเข้ามาพร้อมด้วยคำสั่งได้โดยอัตโนมัติอย่างรวดเร็ว และแม่นยำ เราอาจกล่าวได้ว่า คอมพิวเตอร์เป็นสมองกลที่ทำงานด้วยคำสั่งของมนุษย์ในรูปของโปรแกรมคำสั่ง และสามารถทำงานได้มากกว่า เร็วกว่า และถูกต้องกว่าสมองมนุษย์ จากความหมายของคอมพิวเตอร์ดังที่กล่าวมาแล้ว อาจสรุปได้ว่า คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องจักรกลอิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถทำงานโดยอัตโนมัติกับข้อมูล เพื่อให้ได้ผลตามที่มนุษย์ต้องการ มีความถูกต้องรวดเร็ว ช่วยแก้ปัญหา ช่วยผ่อนแรงให้กับมนุษย์ สามารถเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมากตามที่มนุษย์ป้อนคำสั่งเข้าไป ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีขั้นตอนการจัดกระทำกับข้อมูลไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร ตัวเลข หรือแม้กระทั่งสัญลักษณ์ต่าง ๆ มีการรับข้อมูล ประมวลผลข้อมูล แสดงผลข้อมูล และจัดเก็บข้อมูล โดยอาศัยคำสั่งผ่านโปรแกรมข้อมูลในรูปแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์จะสามารถรับได้ ด้วยความรวดเร็วถูกต้อง และสมบูรณ์ อย่างมีประสิทธิภาพ ความหมายเกี่ยวกับธุรกิจ ธุรกิจ หมายถึง กิจกรรมใด ๆ ที่ทำให้เกิดสินค้าหรือบริการความคิด แล้วมีการแลกเปลี่ยน ซื้อขายกันและมีวัตถุประสงค์ ได้ประโยชน์จากกิจกรรมนั้น ๆ (www.mis.nu.ac.th) ธุรกิจ หมายถึง องค์การหรือกิจการที่ทำให้เกิดสินค้า และบริการ ธุรกิจเป็นกระบวนการทั้งหมดของการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติมาเปลี่ยนไปตามกรรมวิธีการผลิตด้วยแรงคน และเครื่องจักรให้เป็นสินค้า เพื่อประโยชน์เป็นสินค้า เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการ กิจกรรมทางธุรกิจจึงรวมทั้งการผลิต การซื้อ การขาย การจำแนกแจกจ่ายสินค้า การขนส่ง การประกันภัย และอื่น ๆ (www.thaiall.com/business./syllabus.htm) ธุรกิจ หมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำให้การผลิตสินค้า และบริการมีการซื้อขายแลกเปลี่ยน จำหน่าย และมีการกระจายสินค้าและมีประโยชน์ได้กำไรจากกิจการนั้น ธุรกิจมีความจำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ ในสังคมปัจจุบันมาก เพราะนอกจากจะเป็นองค์การที่ผลิตสินค้า หรือบริการที่เป็นปัจจัยพื้นฐานของการดำรงค์ชีวิต หรือปัจจัยสี่ การประกอบธุรกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็ก หรือใหญ่แค่ไหนก็ตาม สิ่งสำคัญก็คือกำไร เพราะกำไรเป็นสิ่งจูงใจที่สำคัญในทางธุรกิจ ก่อให้เกิดการแข่งขันและขยายตัวกันมากในทางธุรกิจทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้ากันมากขึ้น (www.thaiall.com/business./syllabus.htm) ธุรกิจ หมายถึง ความพยายามที่เป็นแบบแผนของนักธุรกิจในการผลิต และขายสินค้า หรือบริการ เพื่อสนองความต้องการของสังคมโดยมุ่งกำไร(www.thaiall.com/business./syllabus.htm) เพราะฉนั้นคอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ หมายถึง การนำคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในงานธุรกิจ เพื่อทำให้เกิดผลกำไร และมีประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจมากยิ่งขึ้น ----------------------------------------------------------------------------------------------- ร่วมแบ่งปันความรู้โดย นางสาวปิยวรรณ เปรมประชา MIT11 รหัส 49233323 บทสรุป
    การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ [[59321]] เพราะฉนั้นจะเห็นได้ว่า การนำคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ในงานธุรกิจมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะทุกวงการมีความเกี่ยวข้องและมีความสัมพันธ์กับธุรกิจด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งนี้ถ้าไม่มีคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในงานด้านต่าง ๆ แล้วก็อาจจะทำให้งานขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผลก็ได้ เพราะเนื่องจากในปัจจุบันนี้คอมพิวเตอร์ได้มีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก และทำให้ผู้ใช้เกิดความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น จนคอมพิวเตอร์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น เป็นไปไม่ได้ว่าที่ทุกองค์กรจะไม่นำคอมพิวเตอร์มาเป็นส่วนหนึ่งของแผนกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนกบุคคล แผนกการเงินและบัญชี แผนกต้อนรับ รวมไปถึงแผนกคลังสินค้าก็ล้วนแล้วแต่นำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ทั้งสิ้น ดังนั้นคอมพิวเตอร์จึงมีบทบาทเป็นอย่างมากในยุกโลกาภิวัฒน์นี้ และมีความจำเป็นเป็นอย่างมากที่จะนำคอมพิวเตอร์มาใช้ประยุกต์ใช้ในงานธุรกิจเพื่อให้ความสะดวกรวดเร็วในการทำงาน เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในงานที่ทำมากยิ่งขึ้น ----------------------------------------------------------------------------------------------- ร่วมแบ่งปันความรู้โดย นางสาวปิยวรรณ เปรมประชา MIT11 รหัส 49233323

    ไม่มีความคิดเห็น:

    แสดงความคิดเห็น